“กรุงศรี” คาดเงินบาทซื้อขายในกรอบ 31.90-32.25 จับตาผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ มอง กนง. ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.50%
มุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ กรุงศรี มองว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.90-32.25 ต่อดอลลาร์เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.07 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1.31 หมื่นล้านบาทแต่ซื้อพันธบัตร 6.0 พันล้านบาท ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบทุกสกุลเงินสำคัญ หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่ สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ Peterson โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 แต่ปฏิเสธที่จะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบและระบุว่าเฟดสนับสนุนทางเลือกอื่นๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า อาทิ การส่งสัญญาณชี้นำทิศทางนโยบายการเงิน หรือForward Guidance และโครงการซื้อสินทรัพย์จำนวนมาก (QE)
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองอีกว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ทั่วโลกและความเสี่ยงต่อการเกิดการแพร่ระบาดระลอกสองของ COVID-19, ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงประเมินทิศทางกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด โดยล่าสุดประธานเฟดได้ให้ สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ว่าอัตราการว่างงานอาจแตะระดับ 25% ก่อนที่จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลังและเศรษฐกิจอาจหดตัว 20% ในไตรมาสที่ 2 ขณะที่เฟดยังไม่หมดกระสุนและพร้อมที่จะขยายมาตรการที่มีอยู่เดิมหรือเพิ่มมาตรการใหม่ๆ เราคาดว่าท่าทีเช่นนี้ อาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงต้นสัปดาห์ แต่ประเด็นความไม่แน่นอนข้างต้นโดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะยังคงส่งผลให้การลงทุน เป็นไปอย่างระมัดระวัง ส่วนเงินบาทอาจผันผวนตามราคาทองคำที่เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 8 ปี
สำหรับปัจจัยในประเทศสภาพัฒน์ฯ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 1 หดตัว 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและหดตัว 2.2% เทียบรายไตรมาส ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ประเมินว่าจีดีพีปี 2563 จะหดตัว 5.0-6.0% และมูลค่าส่งออกลดลง 8.0% ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)วันที่ 20 พ.ค. เราคาดว่าจะมีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 0.75% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 0.50% เพื่อเยียวยาเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ขณะที่นโยบายการเงินที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยและมาตรการด้านการคลังจะมีบทบาทมากขึ้นในระยะถัดไป.