“หมออารักษ์” แจ้งดำเนินคดีกับ ผอ.องค์การเภสัชฯ แอบอัดเทปไปปล่อยสื่อ ทำให้เสียหาย
หมวดหมู่ : นครศรีธรรมราช, ทั่วไป,
โฟสเมื่อ : 15 ส.ค. 2564, 23:53 น. อ่าน : 2,644 นครศรีธรรมราช - “หมออารักษ์” ผอ.รพ.สิชล ที่ปรึกษาชมรมแพทย์ชนบท เดือดจัด แจ้งดำเนินคดีกับ
ผอ.องค์การเภสัชกรรม
ข้อหาหมิ่นประมาทใส่ร้ายเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาจัดซื้อชุดตรวจโควิด-19
ที่แอบอัดโดยไม่บอกกล่าว นำมาเผยแพร่ทางสื่อทำให้ได้รับความเสียหาย เผยต่อไปใครคุยด้วยต้องระวัง
และจะดำเนินคดีถึงที่สุด รวมทั้งสื่อที่เผยแพร่ด้วย
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 15 สิงหาคม 2564 นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ
ผอ.รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรมแพทย์ชนบท ได้เดินทางเข้าพบกับ
พ.ต.ท.เกียรติก้อง หนูจันทร์ สว.(สอบสวน) สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม
ในข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดย พ.ต.ท.เกียรติก้อง
ได้ใช้เวลาสอบสวนปากคำเบื้องต้นประมาณ 10 นาที
และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นเบื้องต้นก่อน และวันพรุ่งนี้ (16 ส.ค.) นพ.อารักษ์
พร้อมทนายความส่วนตัว จะนำเอกสารจำนวนมาก เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง เพื่อเป็นการแจ้งความดำเนินคดีกับ
นพ.วิฑูรย์อย่างเป็นทางการต่อไป
จากนั้น นพ.อารักษ์ ได้แถลงกับสื่อมวลชนว่า จากการที่สื่อ TOP
NEWS ได้เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง นพ.วิฑูรย์
ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม และ นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล ในฐานะประธานที่ปรึกษาชมรมแพทย์ชนบท
มีประเด็นสำคัญที่ต้องขออนุญาตชี้แจงต่อสาธารณะดังนี้
1.ข้อเท็จจริงสำคัญ คือ
ในวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันเตรียมการและปฐมนิเทศทีมแพทย์ชนบทและโรงพยาบาลต่างๆ
กว่า 40 ทีม ที่มาร่วมบุกกรุง ที่ประชุมมีความกังวลถึงความเพียงพอของชุดตรวจ ATK
ที่จะใช้ในการปฏิบัติการ ดังนั้น นพ.อารักษ์
ในฐานะแกนหลักในปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงที่มาด้วยตนเองทั้ง 3 ครั้ง และเป็นคณะกรรมการต่อรองราคาของ
สปสช.ที่มีหน้าที่ต่อรองราคาเพื่อให้ได้ ATK คุณภาพสูงราคาเหมาะสมมาใช้
จึงได้โทรศัพท์ไปหา นพ.วิฑูรย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม แต่ นพ.วิฑูรย์ไม่ได้รับสาย
และได้โทรศัพท์กลับมาพูดคุย การพูดคุยในครั้งนี้เพื่อทวงถามความคืบหน้าที่มีการดำเนินการจัดซื้อที่ล่าช้า
และแจ้งให้ทราบถึงข้อห่วงกังวลของผู้ใช้ ATK ที่ต้องการ ATK
มาตรฐานสูงในระดับองค์การอนามัยโลก WHO ที่มีอยู่
2 บริษัท และไม่อยากให้มีการลดสเป็กเพื่อเปิดทางให้ ATK คุณภาพต่ำเข้ามาขาย
นี่คือวัตถุประสงค์ของการพูดคุยทางโทรศัพท์ในฐานะวิชาชีพแพทย์ด้วยกัน แต่
นพ.วิฑูรย์ได้แอบอัดคลิปเสียงโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ และส่งต่อให้กับ TOP NEWS
เพื่อเผยแพร่ในลักษณะบิดเบือนสร้างความเสียหายต่อข้าพเจ้าและชมรมแพทย์ชนบท
2.การนำคลิปเสียงที่เกิดจากการสนทนาเพียง
2 คน มาปล่อยให้กับสื่อเช่น TOP NEWS โดยที่อีกฝ่ายคือ
นพ.อารักษ์ ไม่ได้อนุญาต เท่ากับเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายฉบับ อันได้แก่
ประกาศ คมช.ฉบับที่ 21 ที่ระบุว่า หากผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์
หรือเปิดเผยข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย
มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งผิด
พรบ.คอมผิดเตอร์ และกฎหมายหมิ่นประมาทด้วย ซึ่งจะมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
3.การกระทำดังกล่าวของผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมที่แอบอัดเสียงการสนทนา
เป็นการกระทำที่สะท้อนความต่ำเตี้ยทางจริยธรรมและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในฐานะผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม
ต่อไปใครจะติดต่อใดๆ กับผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมคนนี้ก็ ขอให้ระวังตัวจะถูกอัดเสียงมาใช้ข่มขู่
แบล็คเมล์ได้
4.สำหรับ TOP
NEWS ซึ่งได้บิดเบือนและปั่นข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง
และเป็นผู้เผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าว
ย่อมต้องรับผลของการกระทำในฐานะสื่อมวลชนที่ขาดจรรยาบรรณ
และจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ตนจึงมาแจ้งความเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด
ขอขอบคุณทุกกำลังใจและขอให้ประชาชนติดตามการจัดซื้อชุดตรวจ ATK นี้ต่อไป
ส่วนประเด็นตามที่มีผู้ให้ข่าวบิดเบือน
เอาความเป็นเท็จลงในสื่อโซเชียล สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลสิชล
กรณีการรับผู้ป่วยโควิด-19 Home Isolation ได้ส่งผลให้บุคลากรสูญเสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานในช่วงสถานการณ์วิกฤตโรคโควิด-19
ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
บุคลากรของโรงพยาบาลสิชลทุกคนทำงานด้วยความเสียสละและทุ่มเทแรงกายแรงใจ
เพื่อพี่น้องชาวสิชลและพื้นที่ใกล้เคียงมาเป็นเวลาหลายเดือน
เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการอย่างสุดกำลังความสามารถ
ต่อมา สืบเนื่องจากปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุง
ครั้งที่ 1 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งโรงพยาบาลสิชล เป็นหนึ่งใน 6
ทีมที่ร่วมปฏิบัติการ พบว่าในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยโรคโควิด-19
ที่ไม่สามารถหาโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามเข้ารับการรักษาได้หลายหมื่นคน
ผู้ติดเชื้อจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงการรับบริการ ไม่มีเตียงรองรับ
ไม่มียาฟาวิพิราเวียร์ ทาง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข
จึงได้คิดแนวทางการดูแลผู้ป่วยโดยการกักตัวที่บ้าน (Home
Isolation) ขึ้น
จากนั้นทางโรงพยาบาลสิชลได้รับการประสานจาก
สปสช.ให้เข้าไปช่วยคนกรุงเทพฯ และพื้นที่รอยต่อ สปสช. ได้ขอให้
รพ.สิชลเข้าร่วมการดูแลผู้ป่วยในระบบ HI เพื่อไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยตกค้างในระบบที่รอคิวเข้ารับการรักษา
ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการ เข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์โดยเร็ว
สามารถลดอัตราการเจ็บป่วยที่รุนแรง โดยทาง สปสช.จะจ่ายเงินมาที่โรงพยาบาล
ตามค่างานที่ได้ดำเนินการตามเกณฑ์ของ สปสช.
ในระบบ HI ทีมแพทย์ พยาบาล
และบุคลากรทางการแพทย์ได้คอยติดตามอาการผ่านช่องทางออนไลน์หลายกรณี เช่น โทรศัพท์
ไลน์ การส่งข้อความ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่าน telemedicine เป็นต้น สำหรับผู้ป่วยสีแดง
จะทำงานร่วมกันกับ สปสช.ในการประสานหาเตียงให้
ผู้ป่วยที่ต้องการยาหรืออุปกรณ์ตรวจวัดค่าต่างๆ
ได้มีระบบการจัดส่งโดยอาสาสมัครในกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงยา การดูแล
และอาหารครบ 3 มื้อนาน 14 วัน ส่งผลให้อัตราป่วยหนักและอัตราเสียชีวิตลดลง
“ขณะนี้สถานการณ์ในกรุงเทพยังไม่คลี่คลาย
มีจำนวนผู้ตกค้างจำนวนมาก แม้ รพ.สิชลจะไม่ได้รับผู้ป่วยใหม่ HI
รายใหม่มา 1 สัปดาห์แล้ว
แต่ยังมีการรับญาติพี่น้องของผู้ป่วยที่ติดโควิด-19
ที่เพิ่งป่วยเพิ่มในภายหลังอยู่บ้าง ทางโรงพยาบาลสิชลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โรงพยาบาลต่างๆ ในกรุงเทพและปริมณฑลจะช่วยกันรับผู้ป่วยในระบบ
HI ไปดูแลให้มากที่สุดทั้งนี้สำหรับผู้ที่บิดเบือนข้อมูล
ให้ร้ายกับทางโรงพยาบาลสิชล ทางโรงพยาบาลสิชลและจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้บิดเบือนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวต่อไป”
นพ.อารักษ์ กล่าวย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังแจ้งความแล้ว พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผบ.ค่ายฝึกรบพิเศษสิชล และชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางมามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจแก่ นพ.อารักษ์ เพื่อให้กำลังใจทำงานช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อโควิดต่อไปอย่างไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งข่าวคืบหน้าจะนำเสนอต่อไป.