กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2567 จำนวน 15.75 พันล้านบาท
หมวดหมู่ : เศรษฐกิจ, ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 18 ก.ค. 2567, 18:34 น. อ่าน : 276กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2567 จำนวน 15.75 พันล้านบาท
สนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจต่อเนื่อง
ชูนโยบายบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง
กรุงเทพฯ - เมื่อวันที่
18 กรกฏาคม 2567 กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ)
รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิจำนวน 15.75 พันล้านบาท ลดลง 7.9%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มจำนวนจากบริษัทลูกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้ควบรวมมาในปี
2566 และกำไรจากการดำเนินงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น
กรุงศรียังคงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
ในครึ่งแรกของปี 2567 การเติบโตโดยรวมของเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอยู่ที่ 0.8%
สะท้อนแรงสนับสนุนต่อความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจ
ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง 3.5%
ตอกย้ำนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดรัดกุมภายใต้บริบทที่ภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง
ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 1.3%
สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับครึ่งแรกของปี
2567:
- กำไรสุทธิ
จำนวน 15,752 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ลดลง 7.9% หรือจำนวน 1,350 ล้านบาท
จากครึ่งแรกของปี 2566
โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ตามการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานเติบโตที่ 26.0%
หรือจำนวน 9,128 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
จากการรับรู้รายได้เต็มจำนวนจากบริษัทลูกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้ควบรวมมาในปี 2566
และกำไรจากการดำเนินงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น
- เงินให้สินเชื่อรวม
ลดลง 1.3% หรือจำนวน 25,273 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566
โดยมีปัจจัยบางส่วนมาจากสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ปรับตัวลดลง 3.5%
ตอกย้ำนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดรัดกุมภายใต้บริบทที่ภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมยังมีการเติบโตโดยรวมอยู่ที่ 0.8%
จากแรงสนับสนุนต่อความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี
- เงินรับฝาก
เพิ่มขึ้น 4.2% หรือจำนวน 76,787 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566
โดยมีปัจจัยหลักมาจากเงินรับฝากประจำ
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ
(NIM) เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.31% จาก 3.52%
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น
โดยมีปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี
2566 แม้ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย
เพิ่มขึ้น 26.6% หรือจำนวน 4,708 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2566
ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี
2566 การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันภายในประเทศ
การเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน
และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้
อยู่ที่ 43.3% ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
- อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(NPL Ratio) อยู่ที่ 3.05%
ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 243 เบสิสพอยท์
และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 128.8%
- อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.87% เทียบกับ 18.24%
ณ สิ้นเดือนธันวาคม
2566
นายเคนอิจิ ยามาโตะ
กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า “การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี 2567
ยังคงมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว
การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง
กอปรกับการส่งออกที่เริ่มเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม
แรงส่งของเศรษฐกิจไทยยังถูกจำกัดจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้ากว่ากำหนด
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวม
รวมถึงข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง”
“ภายใต้บริบทความท้าทายดังกล่าว กรุงศรียังคงมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปีที่ 2.4% ภายใต้สมมุติฐานว่ากิจกรรมเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567”
ณ วันที่ 30
มิถุนายน 2567 กรุงศรี
ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์
สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB)
มีสินเชื่อรวม 1.99 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.92 ล้านล้านบาท
และสินทรัพย์รวม 2.77 ล้านล้านบาท
ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 307.83 พันล้านบาท
หรือเทียบเท่า 17.87% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1
ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 13.75%.