ซีพีเอฟ ยก “เป้าหมายความยั่งยืน” เป็นหัวใจดำเนินธุรกิจ
หมวดหมู่ : เศรษฐกิจ, ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 2 ก.ย. 2563, 11:00 น. อ่าน : 3,305 กรุงเทพฯ - บริษัท
เจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ
จับมือภาคธุรกิจชั้นนำภายใต้สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global
Compact Network Thailand : GCNT) ใช้แนวทางความยั่งยืน
ร่วมเดินหน้าฟื้นฟูประเทศไทยรอบด้านหลังวิกฤตโควิด-19 ทั้งเศรษฐกิจ
สังคมและสิ่งแวดล้อม รองรับวิถีปกติใหม่ (New Normal) ยกระดับความปลอดภัยสูงสุดของบุคลากร
สร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงาน ร่วมผลิตอาหารให้เพียงพอเพื่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศ
นายประสิทธิ์
บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวในการเสวนา “Thailand
Business Leadership for SDGs 2020”
ในหัวข้อผู้นำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามวิถีใหม่ ด้านมนุษยชนและแรงงาน
จัดโดย สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network
Thailand : GCNT) ว่า
ภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการการขับเคลื่อนประเทศไทยหลังวิกฤติโควิด-19
ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการรอบด้านอย่างเป็นระบบ
ให้ธุรกิจดำเนินไปได้โดยไม่หยุดชะงัก โดยที่บุคลากรเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายได้
ซีพีเอฟ
ให้ความสำคัญกับการป้องกันและคุ้มครองพนักงานทุกคน
โดยออกมาตรการด้านสุขอนามัยและการตรวจสอบทั้งก่อนเข้าปฏิบัติงาน
ระหว่างปฏิบัติงานและหลังปฏิบัติงานอย่างเข้มงวด
โดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยสูงสุดทั้งกระบวนการผลิตอาหารและพนักงาน
เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานได้รับการดูแลอย่างดีและอาหารมีความปลอดภัยสูงสุด
สนับสนุนการผลิตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อาหารมีเพียงพอต่อการบริโภค
จนถึงขณะนี้
บริษัทยังคงมาตรการความปลอดภัยสูงสุดและมาตรการเฝ้าระวังโรคไว้อย่างเคร่งครัด
และยังซื้อประกันภัยส่วนบุคคลเพิ่มให้กับพนักงานขายที่ต้องพบปะลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจในการทำงาน
ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทฯ ปฏิบัติมาตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค
ควบคู่ไปกับบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable
Development Goals : SDGs) มาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะการเข้าถึงอาหารของประชาชน
“ซีพีเอฟ
เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศไทยและคนไทยในรูปแบบของการผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ
เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงอาหารได้โดยไม่ขาดแคลน
และยังถ่ายทอดความมุ่งมั่นเหล่านี้ไปยังพนักงานให้รับผิดชอบตัวเองและประเทศควบคู่กันไป”
นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์
กล่าวต่อไปว่า นอกจากมาตรการสุขอนามัยที่เข้มงวดของพนักงานแล้ว บริษัทฯ ยังเพิ่มการอบรมทักษะเพื่อรับ New
Normal เพิ่มเติมเป็นประสบการณ์ให้พนักงาน
เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและป้องกันการว่างงาน ซึ่งในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา
ซีพีเอฟ ไม่มีการปลดพนักงานเลย
ซีพีเอฟ
ตระหนักดีว่าผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกจากโควิด-19
และสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป เป็นปัจจัยนำไปสู่การแข่งขันที่มากขึ้น
ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดของแต่ละองค์กรและของประเทศ
จึงเป็นแรงผลักดันสำคัญให้องค์กรและภาคธุรกิจต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ไม่มีองค์กรไหนอยู่ได้ ถ้าไม่ดูแลคนของเขาให้เพียงพอในทุกระดับ ตั้งแต่บนลงไปข้างล่างด้วยความยุติธรรมและเท่าเทียมกัน” นายประสิทธิ์ กล่าวย้ำ.