ผบ.ทัพเรือภาค 3 ตรวจเข้มช่องทางธรรมชาติพื้นที่ทะเลชายแดนใต้
หมวดหมู่ : สตูล, ทั่วไป,
โฟสเมื่อ : 3 มิ.ย. 2564, 10:58 น. อ่าน : 1,386สตูล-ผบ.ทัพเรือภาคที่ 3 ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ผอ.ศรชล.ภาค 3) นำ ผวจ.สตูล และหัวหน้าน่วยงานต่าง ลงเรือตรวจเข้มพื้นท่ีช่องทางธรรมชาติทางทะเลสกัดการลักลอบข้ามแดนจากมาเลเซีย ป้องกันการนำเชื้อโควิด-19 เข้ามาแพร่ ยืนยันสกัดทุกช่องทาง เตือนคนไทยและนายหน้า ให้เข้าช่องทางถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2564 เวลา11.30 น. พลเรือโทเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ผอ.ศรชล.ภาค 3) และผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 พร้อมด้วยนายเอกรัฐ หลีเส็นผวจ.สตูล น.อ.จุมพจน์ เสนาะพิณ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล (ศรชล.สตูล )และกำลังเจ้าหน้าที่ลงเริอที่ท่าเรือตำมะลัง ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล เพื่อออกตรวจการณ์ทางทะเล อันดามันบริเวณเขตรอยต่อน่านน้ำรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย กับ จ.สตูล ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองทางช่องทางธรรมชาติจากผู้ที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียหลังจากที่ทางการมาเลเซียล๊อกดาวน์ทั่วประเทศมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ไปจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 และยังมีการกดดันนายจ้างในประเทศมาเลเซียให้ผลักดันคนงานไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียอย่างผิดกฏหมายออกนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้แรงงานชาวไทยบางส่วนลักลอบเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีมาตรการป้องกันเข้ม เพื่อป้องกันการนำเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้และสายพันธุ์อินเดียวเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย
พลเรือโท เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 (ผอ.ศรชล.ภาค 3) และผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดสตูลในครั้งนี้ ว่าตนพร้อมคณะ มาเพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ภาคใต้ ศรชล.ภาค 3 หน่วยนี้ฯเกิดขึ้นจากความร่วมมือและบูรณาการหน่วยงานในศรชล. โดยมีกองทัพเรือเป็นแกนนำ และหน่วยงานอื่นๆ ทั้งกรมเจ้าท่า, ตำรวจน้ำ ,กรมประมง กรมศุลกากร, กรมทรัพยากรทะเลทางชายฝั่ง ,ร่วมกับหน่วยงานในจังหวัดสตูล เพื่ออำนวยการการสกัดกั้นและแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านช่องทางการคัดกรอง ซึ่งถือว่าปัญหานี้เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบันเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศมาเลเซียทวีความรุนแรงขึ้นและได้มีประกาศล็อกดาว์นประเทศเป็นเวลา 14 วัน
การปฏิบัติงานของหน่วยเฉพาะกิจฯ ดังกล่าว ได้มีการวางแผนสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองจากทางทะเลขึ้นสู่ฝั่ง ทำงานร่วมกับกองกำลังเทพสตรี และหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสตูล เพื่อปฏิบัติภารกิจป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ทั้งคนไทยหรือแรงงานที่เข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ผ่านการคัดกรอง การมาตรวจเยี่ยมได้เสนอแนะให้หน่วยเฉพาะกิจฯ ปรับแผนการให้รัดกุมขึ้นโดยใช้การข่าวนำ เนื่องจากผู้ลักลอบเข้าเมืองส่วนใหญ่จะมีขบวนการนำพาเข้ามายังพื้นที่ที่เป็นพื้นที่รอคอย ส่วนใหญ่เล็ดลอดเข้ามาบริเวณแนวชายแดนทางทะเล ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวเข้าไปเพื่อสืบเสาะขบวนการนำพาที่มีการลักลอบนำคนเข้ามา ว่าใช้ช่องทางไหนมาเวลาใด
“อย่างไรก็ตาม การทำงานคงไม่สามารถสกัดกั้นได้ทุกพื้นที่ทุกเวลา จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่และประชาชน ที่จะร่วมกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนแปลกปลอมลักลอบเข้ามาในพื้นที่ เพื่อนำตัวบุคคลเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการกักตัวตามมาตรการที่กำหนดดังนั้นต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน และผู้ที่คิดจะข้ามแดนมาในช่องทางที่ไม่มีการคัดกรองต้องคำนึงถึงส่วนรวม ทางเรายินดีต้อนรับคนไทยทุกคนที่ประสงค์จะเดินทางกลับเข้ามา โดยเฉพาะช่องทางที่ถูกต้องและเข้ารับการกักตัว เนื่องจากผู้ที่เดินทางเข้ามาไม่ทราบว่ามีความเสี่ยงหรือมีเชื้อติดมาด้วยหรือไม่ จึงขอให้คำนึงถึงส่วนรวมของประเทศเป็นหลัก” พลเรือโทเชิงชายกล่าว
พลเรือโทเชิงชายกล่าวอีกว่า สำหรับในพื้นที่ฝั่งอันดามัน มีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจฯ 3 พื้นที่ คือที่จ.ระนอง (ชายแดนไทย-เมียนมาร์) ,จ.ภูเก็ต เพื่อคัดกรองตรวจเรือท่องเที่ยว เรือสินค้าที่เข้าไปในพื้นที่จ.ภูเก็ตและใกล้เคียง และจุดที่ 3 คือ ที่จ.สตูล ซึ่งก่อนหน้านี้ราว 3 เดือน มีความเป็นห่วงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาร์ที่มีการแพร่ระบาดเป็นจำนวนมากได้จัดหน่วยกำลังสกัดกั้นและลาดตระเวนพรมแดน แต่ในขณะนี้สถานการณ์การระบาดที่ประเทศมาเลเซียมีความน่าเป็นห่วง จึงให้ความสำคัญในพื้นที่ทางตอนใต้ โดยเฉพาะช่องทางหรือพรมแดนทางทะเลที่มาจากประเทศมาเลเซีย
พร้อมกันนี้ขอยืนยันว่ากองกำลังมีเพียงพอสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในส่วนนี้ ทั้งกองทัพเรือ ซึ่งมีกองกำลังทั้งหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานรักษาฝั่งที่ 491 (เกาะหลีเป๊ะ) และหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานรักษาฝั่งที่ 452 (เกาะปูยู) มีสถานีเรดาห์ในการตรวจการเรือทุกลำที่ผ่านเข้ามาทางแนวชายแดน และยังมีกำลังทางเรือของกองทัพเรือ และเรือตรวจการชายฝั่งที่สถานีเรือละงู จ.สตูล ออกปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันมีการส่งกำลังทางเรือจากฐานทัพเรือพังงามาร่วมลาดตระเวนในพื้นที่จังหวัดสตูลด้วย รวมถึงการบูรณาการกำลังทางเรือร่วมของหน่วยงาน ศรชล. ในพื้นที่ที่ร่วมกันตระเวนทางชายฝั่งตลอด 24 ชั่วโมงด้วย นอกจากนี้ ศรชล. สตูล ได้มีการวางแผนบูรณาการกำลังทั้งหมด ทั้งทางเรือ อากาศยาน(เฮลิคอปเตอร์) และกำลังทางบก ลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่ทางทะเลตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย และพื้นที่เสี่ยงที่จะมีการลักลอบเข้ามาในจังหวัดสตูลด้วย.