ผวจ.กระบี่สั่งสนธิกำลังยึดคืนสวนปาล์ม กฟผ.ที่ถูกบุกรุก

               เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และกฟผ. ยึดคืนสวนปาล์มกว่า 300 ไร่ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและดำเนินคดีผู้บุกรุกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันของ สนง.เหมืองโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ หลังถูกกลุ่มนายทุนบุกเข้ายึดครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่สำนักงานกองเหมืองโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หมู่ 2 บ้านห้วยโศก ต.คลองขนาน อ.เหนือคลอง นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผวจ.กระบี่ มอบหมายให้ นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม

รอง ผวจ.กระบี่ เป็นประธานเปิดแผนปฏิบัติการสนธิกำลัง จนท.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่กอ.รมน.กระบี่ ตำรวจภูธร จ.กระบี่ คชด.426 จนท.ฝายปกครอง อส.อ.เหนือคลอง และกำลัง จนท.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 300 นาย เข้าทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัย พืชผลอาสิน ของผู้บุกรุกพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันของ สนง.เหมืองโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ โดยมีนายประหยัด นิคมภักดิ์ หน.กองวางแผนพัฒนาแหล่งเชื้อเพลิง โรงไฟฟ้า จ.กระบี่ นำกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการ

โดยก่อนหน้านี้ได้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพล 3 ราย พร้อมชาวบ้าน 11 ราย เข้าไปบุกรุกพื้นที่ปักหลักจับจองพื้นที่ และขึงรั้วลวดหนาม ทำรั้วปิดกันทางเข้าและออก รวมทั้งตัดโค่นล้มต้นปาล์มน้ำมัน และหยอดยาฆ่าตอต้นปาล์มน้ำมัน และปลูกต้นกล้าปาล์มน้ำมันอายุ 2 ปีขึ้นทดแทน ซึ่งเป็นการทำลายทรัพย์สินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มาตั้งแต่เดือน มิ.ย.66 โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของรัฐที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้เข้าใช้ประโยชน์ซึ่งได้รับการเพิกถอนจากการเป็นค่าคุ้มครองป่าแหลมกรวด และป่าคลองบางผึ้ง ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 190  ปี พ.ศ.2506 ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองและสงวนป่า ปี พ.ศ.2481 เพื่อนำที่ดินมาใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเนื้อที่ 4,462 ไร่และส่วนหนึ่งเป็นที่ดินของรัฐที่การไฟฟ้าลิกไนต์ถือครองเนื้อที่ 582 ไร่ โดยที่ดินได้ถูกจำแนกออกตามมติสภาบริหารคณะปฏิวัติ วันที่ 2 มี.ค.15 รวมที่ดินทั้งสองส่วนเนื้อที่ 5,044 ไร่ และได้เข้าทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 2566 ได้มีกลุ่มนายทุนในพื้นที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ในเขตสวนปาล์มน้ำมัน ของ กฟผ. แบ่งเป็นของนายทุน 6 แปลงรวมเนื้อที่ 314 ไร่ ปลูกต้นกล้าปาล์มน้ำมัน 4,880 ต้น และ ขนำ 6 หลัง ซึ่ง กฟผ. ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกลุ่มนายทุน ทั้ง 3 ราย ฐานกระทำความผิดบุกรุกยึดถือครองครอง และทำให้เสียทรัพย์ที่ดิน กฟผ. ฐานความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ ปี พ.ศ.2484 และฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และให้ดำเนินคดีทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีราษฎรในพื้นที่อีก 11 ราย เข้ามาบุกรุกพื้นที่โดยการปักเสาแนวเขตพื้นที่ในการจับจองอีกกว่า 200 ไร่