ผวจ.พัทลุง สั่งแก้ปัญหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ จัดการนายทุนที่บุกรุก

หมวดหมู่ : พัทลุง, ทั่วไป,

อ่าน : 1,628
ผวจ.พัทลุง สั่งแก้ปัญหาบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ จัดการนายทุนที่บุกรุก

            ผวจ.พัทลุง ยืนยันใช้กฎหมายบังคับใช้จัดการกับผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ไม่เคารพกฎกติกา ด้านอดีตนายก อบต.ชัยบุรี ประกาศแจ้งความกับผู้บุกรุกที่เข้าไปสร้างที่ทำกินในช่วงที่มีการตรวจสอบที่ดินแปลงนี้

            ความคืบหน้ากรณีชาวบ้านในท้องที่ ม.2, 4, 5, 7 ต.ชัยบุรี และท้องที่ ม.8, 11 ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง ประมาณ 2,000 ครัวเรือน เข้าไปถือครองที่ดิน “ควนท่าสำเภาสาธารณประโยชน์จำนวน 3,727 ไร่เศษ ซึ่งอยู่ในความดูแลของฝ่ายปกครองของกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างเป็นที่ทำกินมากกว่า 3,500 ไร่ มานานกว่า 10 ปี โดยผิดกฎหมาย จนมีชาวบ้านร้องเรียนให้ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ส่ง จนท.กอ.รมน.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตวจสอบ พบว่ามีการบุกรุกจริง และ นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง ทราบเรื่อง จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและแสดงความไม่พอใจฝ่ายท้องถิ่นที่ไม่รายงานเรื่องดังกล่าวให้ทราบ เนื่องจากการลงพื้นที่พบว่ามีการบุกรุกจริง และนำปัหาดังกล่าวเข้าที่ประชุมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัด เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ตามที่เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น

            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อตอนสายวันที่ 25 พ.ค.2563 นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง ได้เป็นประธานในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ห้องประชุมแพรทอง ศาลากลางจังหวัดพัทลุง เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว และเปิดเผยหลังจากการประชุมว่า เบื้องต้นต้องสำรวจว่าการเข้าไปทำกินในที่ดินดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร มีโครงการรองรับหรือไม่ ส่วนโครงการที่จะให้คนจน คนยากไร้ เข้าไปสร้างที่ทำกินได้หยุดชะงักไปนานแล้ว จนทำให้ชาวบ้านที่เข้าไปทำกินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทางจังหวัดจะหาทางออกให้กับกลุ่มชาวบ้านต่อไป ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้ทางอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เข้าไปดูแลการบุกรุกตามอำนาจและหน้าที่แล้ว ทั้งกลุ่มชาวบ้านที่เข้าไปสร้างที่ทำกินในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ส่วนจะมีการยกเลิกการถือครองของที่ดินดังกล่าวหรือไม่นั้น จะต้องรอผลการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ถือครองในที่ดินมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการบุกรุกสร้างสวนปาล์มน้ำมันของคนในพื้นที่และนอกพื้นที่

            ส่วนการบุกรุกในครั้งนี้มีมากว่า 1,000 ราย ทางจังหวัดจะให้ความสำคัญการยึดเอาพื้นที่ดังกล่าวมาให้กับคนยากไร้ คนยากจน และผู้ที่เข้าไปบุกรุกยึดถือครองในที่ดินทั้ง 3,727ไร่นั้น พบว่าไม่มีใครที่มีเอกสารสิทธิ์การถือครอง ต้องรื้อฟื้นการใช้ที่ดินดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน จะให้คนใดคนหนึ่งเข้ายึดครองเป็นของตนเองไม่ได้โดยเด็ดขาด และกรณีการสร้างสวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่บุกรุกเป็นการใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ จะต้องดูว่าเป็นของใคร มาจากไหน ยากจนหรือไม่ หากเป็นของคนจนเป็นรายเล็กรายน้อย ทำต่อเนื่องก็ต้องดูแลกันไปตามความเหมาะสม ส่วนจะมีการบังคับใช้กฎหมายกับผู้บุกรุกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ทุกฝ่ายร่วมกันกำหนดขึ้น ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ใครเคารพกฎกติกาจะเป็นบุคคลที่จะได้รับการดูแล

            ด้าน นายสุพัฒน์ มุลเมฆ อดีตกำนัน .ชัยบุรี และอดีตนายก อบต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง ผู้ทรงคุณวุฒิการกีฬาแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เปิดเผยว่า มีการขุดคันดินรอบๆ พื้นที่ดังกล่าวในปี 2533–2536 เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเข้าไปบุกรุกที่ดินดังกล่าว โดยจะให้ ม.ทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ใช้ที่ดินเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยฯ แต่เมื่อ ม.ทักษิณ ไม่ได้ใช้ ตนในฐานะนายก อบต.ชัยบุรี จึงได้นำที่ดินดังกล่าวเข้าร่วมโครงการจัดที่ดินของรัฐ ขจัดปัญหาความยากจน ตามหนังสือของกระทรวงหาดไทย ที่ มท.0511.4/ ว.3000 ลงวันที่ 24 กันยายน 2557 เสนอให้จังหวัดฯ โดยมีผู้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวของท้องที่ ม.2, 4, 5 และ 7 ต.ชัยบุรี เข้าร่วมโครงการ 397 ราย จำนวน 514 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ และทางจังหวัดฯ ได้ใช้งบประมาณยุทธศาสตร์จำนวน 4 ล้านบาทเศษ เข้ามาปรับพื้นที่ให้ชาวบ้านได้ทำมาหากินด้วย ต่อมาได้เกิดการปฏิวัติรัฐปะหาร การขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวจึงหยุดลง จนนำไปสู่การบุกรุกเข้าไปถือครองเพิ่มเติมจนเต็มพื้นที่ดังกล่าว

            “เมื่อทางจังหวัดได้สั่งการให้ทางอำเภอ และ อปท.ร่วมกันสำรวจการบุกรุกในที่ดินดังกล่าวนี้ ผมจะประสานกับผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ เพื่อห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปบุกรุก หรือนำเครื่องจักรกลเข้าไปสร้างที่ทำกินโดยเด็ดขาด หากพบการกระทำความผิด ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งจะเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวด้วยตนเอง ส่วนชาวบ้านที่เดินเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้าเข้าไปในที่ดินแห่งนี้ ผมจะขอร้องให้ทุกรายรื้อถอนให้เสร็จสิ้นภายใน 1 - 2 วันนี้ ในส่วนของต้นเหตุของเรื่องดังกล่าวจนนำไปสู่เรื่องฉาวโฉ่ในครั้งนี้ มาจากความขัดแย้งของการเก็บผลผลิตของปาล์มน้ำมันของเครือญาติ ที่ไปสร้างที่ทำกินในที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว จนนำไปสู่การใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่กันและมีการแจ้งความกันในที่สุด หากทางจังหวัดจะยึดถือหลักฐานการขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์ดังกล่าว จะมีพื้นที่เหลืออีกมากกว่า 2,000 ไร่ ส่วนจะดำเนินการกับผู้บุกรุกที่นอกเหนือกลุ่มชาวบ้านทั้ง 397 ราย เป็นเรื่องของจังหวัดฯ ที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” นายสุพัฒน์ กล่าว.