พูดคุยกับ HR รุ่นใหม่เรื่องการก้าวข้ามอคติ ยอมรับตัวตนที่เป็น
หมวดหมู่ : ไลฟ์สไตล์-บันเทิง, ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 12 มิ.ย. 2567, 12:26 น. อ่าน : 275พูดคุยกับ HR รุ่นใหม่เรื่องการก้าวข้ามอคติ ยอมรับตัวตนที่เป็น
และสนับสนุนให้ผู้ที่มีความหลากหลายในองค์กรเข้าใจสิทธิ์ของตัวเอง
ผลสำรวจของ Deloitte ระบุว่า
การยอมรับความแตกต่างหลากหลายในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่
โดยเฉพาะ Gen Z และมิลเลนเนียล
โดยกลุ่ม LGBT+ ในการสำรวจครั้งนี้ถึง
75% เชื่อว่าการเปิดเผยตัวตนเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศมีความสำคัญ
แต่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่เปิดเผยตัวตนคือความกังวลว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม
กิตติ พีรธนารัตน์
จากสายงานทรัพยากรบุคคลของ ทรู คอร์ปอเรชั่น
คือหนึ่งในตัวแทนที่เล่าเรื่องราวความหลากหลายในเดือนแห่งความภาคภูมิใจ
เขาคือคนรุ่นใหม่ที่กล้าเปิดเผยความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง
ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการสร้าง Business
Inclusion Toolkit กับทาง UNDP และองค์กรชั้นนำในประเทศไทย
ที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีกลยุทธ์สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการทำงานได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้เขายังเป็นกระบอกเสียงบอกต่อให้พนักงานที่มีความแตกต่างหลากหลายตระหนักรู้ถึงสิทธิ์ต่างๆ
ของตัวเอง
ความมั่นใจและภูมิใจในความเป็นตัวเองเช่นวันนี้ของกิตติ
เกิดจากการยอมรับและเคารพตัวเอง รวมไปถึงการก้าวผ่านความท้าทาย
ที่อยากแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตและมุมมองต่างๆ ให้ทุกคน
ความคาดหวังของครอบครัวที่มีต่อลูกชาย
“เราเติบโตมาในยุคที่ยังไม่เปิดรับความหลากหลายทางเพศมากนัก
ยิ่งเราเป็นลูกชายที่เกิดมาในครอบครัวคนจีน ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้น
แม้พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เราเด็กและเติบโตมากับฝั่งแม่ที่เป็นคนไทย
แต่เขาก็เลี่ยงที่จะยอมรับกับตัวตนที่เราแสดงออก โดยมองว่าเราเป็นเด็กผู้ชายเรียบร้อย
ตอนที่ไปเจอญาติก็ต้องเก็บความเป็นตัวเองไว้ ไม่แสดงออกให้ใครเห็น”
เมื่อรับผิดชอบตัวเองได้
ก็มีความมั่นใจที่แสดงความเป็นตัวเอง
“พอเรียนมัธยมปลาย แม่ไปทำงานที่ต่างประเทศ
ทำให้เราต้องรับผิดชอบและตัดสินใจทุกเรื่องในชีวิตด้วยตัวเอง
พร้อมกับดูแลความรู้สึกตัวเองด้วย
ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้เรามีความมั่นใจว่าเรารับผิดชอบตัวเองได้ทุกเรื่องแล้ว
เมื่อเข้าสู่สังคมมหาวิทยาลัย เราก็แสดงความเป็นตัวของตัวเองแบบที่สุด
เปิดตัวแบบไม่ปิดเลย เพราะเราเคารพตัวตนของตัวเองมาก
และเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ฉันก็จะเป็นแบบนี้ อยากแรงแบบนี้
และไม่เคยเสียความมั่นใจเลยสักครั้ง เวลานั้นทำกิจกรรมเยอะมาก
ทำทุกอย่างที่ทำให้เราโดดเด่น เรียกว่ามั่นหน้ามากๆ ซึ่งต่อมาก็รู้ว่าสังคมนั้นเล็กมาก
ไม่ใช่โลกกว้างอย่างที่เราต้องเจอ”
โลกกว้างที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว
“การเรียนด้านภาษาทำให้เราเก่งในด้านการสื่อสาร
แต่เมื่อออกมาทำงานก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้คนที่หลากหลายและเลือกวางตัวให้เหมาะสม
โดยที่ยังมีความเป็นตัวเองเสมอ เราไม่เคยปิดบัง
เพราะเคยมีประสบการณ์ตอนสัมภาษณ์งานที่ทั้งท่องบท เก็บไม้เก็บมือ
ไม่เป็นธรรมชาติไปทุกอย่าง สุดท้ายก็ไม่ผ่านอยู่ดี
จากนั้นก็คิดว่าไม่เอาแบบนี้แล้วนะ เป็นตัวเองไปเลยดีกว่า
ให้คนรับได้ในตัวตนที่เราเป็น ซึ่งก็โชคดีที่ได้เจอที่ทำงานที่รับได้
แต่ก็มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ติดในใจมานาน”
“ตอนที่ย้ายมาทำงานในองค์กรที่ค่อนข้าง Conservative มีวันหนึ่งที่ต้องไปประชุมกับผู้บริหาร หัวหน้างานบอกเราว่า ‘เวลาเจอผู้ใหญ่ พยายามอย่าแสดงออกเยอะนะ’ ก็คือให้เราทำตัวแมนๆ นั่นแหละ ตอนนั้นเกิดคำถามทันทีเลยว่า ‘ทำไมเราเป็นตัวเองไม่ได้ล่ะ’ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป ได้แต่นิ่ง จากนั้นก็คิดว่านี่เป็นหนึ่งบทเรียนเล็กๆ ที่ว่า ไม่ใช่ว่าทุกที่หรือทุกคนจะถูกใจหรือยอมรับการเปิดเผยตัวตนของเราได้ทั้งหมด แต่ถ้ามองกลับไปจากวัยที่เติบโตขึ้น ก็คิดว่าหัวหน้าหวังดี เพราะเขาทำงานในองค์กรนั้นมานาน เขาย่อมรู้ว่าแบบไหนที่จะทำงานได้ง่ายกว่า”
การทำงาน Advocacy ที่เป็นหนึ่งกระบอกเสียงบอกต่อเรื่องความหลากหลาย
“เราชอบทำงานที่ได้สื่อสารกับผู้คนมาโดยตลอด
สุดท้ายก็ได้มาทำงานในสายของ HR ที่ dtac ซึ่งการแสดงตัวตนชัดเจนแบบนี้ทำให้เรามีโอกาสเป็นตัวแทนขององค์กรเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้าง
Business Inclusion Toolkit ที่ทาง UNDP ร่วมกับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทย
โดยเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ
มีกลยุทธ์ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่
ตอนนั้นเราได้คุยกับผู้นำองค์กรที่ทำในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วก็ตกผลึกว่า
นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เมื่อเราตระหนักรู้และเข้าใจแล้วก็ต้องเป็นหนึ่งเสียงที่พูดเรื่องนี้ออกไป
ให้คนเห็นความสำคัญ ให้ผู้คนเชื่อเราให้ได้”
“พอกลับมาจากงานนั้นเราก็ทำงานรณรงค์และสนับสนุนเรื่องการโอบรับความแตกต่างหลากหลายมาตลอด
ยิ่งในฐานะ HR เราพยายามบอกให้พนักงานทุกคนได้รู้ว่าพวกเขามีสวัสดิการอะไรบ้าง
ไม่เฉพาะแค่กลุ่ม LGBTQ เท่านั้น
แต่เป็นสวัสดิการสำหรับทุกคน
ซึ่งตอนนี้ทรูมีสวัสดิการและสิทธิ์ของพนักงานที่ค่อนข้างครอบคลุมกับความหลากหลาย”
“ถ้าพูดถึงสวัสดิการสำหรับพนักงาน LGBTQ และคู่สมรสเพศเดียวกัน
พนักงานสามารถลาผ่าตัดแปลงเพศได้ 30 วัน ลาเพื่อเข้าพิธีสมรสได้ 6 วัน
(รวมวันหยุด) หรือสามารถเบิกสวัสดิการเงินช่วยเหลืองานแต่งงานของพนักงานได้ 5,000
บาท นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการที่ครอบคลุมความหลากหลาย เช่น
คุณแม่สามารถลาคลอดได้สูงสุด 180 วัน (เมื่ออายุงานเกิน 2 ปี)
ฝั่งคุณพ่อก็สามารถลาเมื่อภรรยาคลอดบุตรได้ 7 วัน (รวมวันหยุด) ต่อครั้ง
เราพยายามบอกให้เขารับรู้ในสิทธิที่ตัวเองมี”
การส่งเสริมความหลากหลายต้องสร้างความรู้สึกปลอดภัย
“นอกจากนี้ในมุมมองของคนทำงาน HRBP (Human Resources Business Partner) การส่งเสริมความหลากหลายให้ดีขึ้นคือต้องฟังเสียงพนักงานให้มาก ต้องถามตัวเองตลอดว่า เราฟังลูกค้าคนสำคัญของเรามากพอหรือยัง ได้นำความคิดเห็นหรือฟีดแบ็กของเขามาปรับปรุง พัฒนาให้เขาเกิดประสบการณ์ที่ดีในการทำงานและการใช้ชีวิตในที่ทำงานมากแค่ไหน สำหรับระดับองค์กรก็ต้องไม่หยุดนิ่งในการส่งเสริมและโอบรับความหลากหลาย ต้องทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกปลอดภัยทางใจในที่ทำงาน รวมไปถึงความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งก็คือตัว B (Belonging) ตามหลัก DEI&B”
ทุกคนมีความท้าทายไม่ต่างกัน
“สังคมมักจะตีตราว่าถ้าเราเป็น LGBTQ ต้องเป็นคนตลกหรือทำตัวเด่น ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย
อย่างการที่เราชอบเต้นก็เป็น Passion อย่างหนึ่งรวมถึงได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน
จากแกะท่าเต้นตาม YouTube ก็เริ่มไปเรียนและกลายเป็นงานอดิเรกแบบจริงจังที่เราตั้งใจที่พัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ
หรือแม้แต่ด้วยการทำงานทำให้เราอาจต้องมีภาพบนสื่อภายในองค์กร
หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ เป็นพิธีกรบ้าง เต้นบ้าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าที่การทำงาน
อีกส่วนก็เป็นความชอบ เป็นตัวตนของคน Extrovert ที่ชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน”
“ความโดดเด่นในแบบนี้ทำให้ที่ผ่านมาเราเคยได้ยินเสียงว่ากล่าวบ้าง
แต่เชื่อไหมว่า
ไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะเอาคำพูดไม่ดีเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจตัวเอง
เราก็แค่ไม่สนใจ และคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้รับรู้แง่มุมอื่นๆ
หรือเรื่องที่เราต้องฝ่าฟัน เขาไม่ได้มาอยู่ในหน้าที่ของเรา
ไม่รู้ว่าเราเจองานที่ท้าทายอย่างไรบ้าง จริงๆ
ชีวิตเราก็เหมือนกับทุกคนที่ไม่ได้มีแค่เรื่องสนุกอย่างเดียว
ถ้าเป็นคำติแบบสร้างสรรค์ก็ยินดีรับไว้ปรับปรุงพัฒนาตัวเอง
แต่ถ้าเป็นการตัดสินเราจากอคติ เราก็ไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นเลย”
ทุกคนจะเป็นอะไรก็ได้
ขอให้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
“การใช้ชีวิตตั้งแต่ช่วงเวลาที่คนไม่ยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศ
จนมาถึงวันนี้ ทำให้ได้คิดว่า การเป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว เพราะเราเชื่อว่า
ทุกคนจะทำอะไรก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นตัวเอง
ไม่จำเป็นว่าจะต้องแสดงออกหรือบอกให้ทุกคนได้รู้ว่าฉันเป็น LGBTQ หรือฉันเป็นอะไรแบบไหน
ทุกอย่างขอให้ไปตามความสบายใจ ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ ทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องง่าย
ให้ชีวิตไปยากกับเรื่องอื่น คิดแค่ว่า ฉันเป็นอะไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เป็นตัวเอง”
“ที่ผ่านมาเราเคยได้ยินเสียงว่ากล่าวบ้าง แต่เชื่อไหมว่า ไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะเอาคำพูดไม่ดีเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจตัวเอง เราก็แค่ไม่สนใจ และคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้รับรู้แง่มุมอื่นๆ หรือเรื่องที่เราต้องฝ่าฟัน เขาไม่ได้มาอยู่ในหน้าที่ของเรา ไม่รู้ว่าเราเจองานที่ท้าทายอย่างไรบ้าง จริงๆ ชีวิตเราก็เหมือนกับทุกคนที่ไม่ได้มีแค่เรื่องสนุกอย่างเดียว”
Lesson Learned การเปิดเผยความเป็นตัวตนในที่ทำงาน
Self-Acceptance
and Respect: เริ่มต้นด้วยการยอมรับและเคารพในตัวเอง
ช่วยให้แสดงตัวตนได้อย่างมั่นใจ
Being a Role
Model: การแบ่งปันประสบการณ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนให้ผู้อื่นกล้าเป็นตัวของตัวเองเช่นกัน
Be an Advocate: การสนับสนุนซึ่งกันและกันทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งอย่างแท้จริง
ทรู คอร์ปอเรชั่น
เชื่อว่าความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย อายุ เชื้อชาติ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์
โดยในเดือนแห่งความภาคภูมิใจในความหลากหลาย (Pride Month) ทรู
แสดงจุดยืนในการสนับสนุนให้เกิดความเท่าเทียม จากการผสานความแตกต่าง
โอบรับความหลากหลายของทุกคนในทุกมิติ และกล้าแสดงความเป็นตัวเอง ผ่านแคมเปญ #BringYourBest เพราะที่ทำงานคือพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
พร้อมนำเสนอเรื่องเล่าของคนทรู
ที่สะท้อนความแตกต่างหลากหลายและเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพและความเป็นตัวเองอย่างแท้จริง.