“สมัชชาอนามัยโลก” ปรับตัวรับโควิด-19 ถอดบทเรียนออนไลน์ครั้งแรก
หมวดหมู่ : ทั่วไป,
โฟสเมื่อ : 29 พ.ค. 2563, 07:00 น. อ่าน : 2,434 รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
ถอดบทเรียน “สมัชชาอนามัยโลก” สู่การจัด “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 13”
มีการปรับตัวรับโควิด-19 ครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดวงถกออนไลน์เป็นครั้งแรก
ร่นระยะเวลาจาก 2 สัปดาห์เหลือ 2 วัน แต่ยังมีข้อจำกัด-อภิปรายไม่ครบถ้วน
คาดจะเปิดประชุมอีกครั้งปลายปีนี้
ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์
พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดประชุมสมัชชาอนามัยโลก ผ่านรายการ THE
STANDARD Daily เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งว่า ทุกปีๆ
องค์การอนามัยโลก (WHO) จะมีการจัดสมัชชาอนามัยโลก
ซึ่งจะมีผู้ตัวแทนจากประเทศสมาชิกรวมทั้งหมด 194 ประเทศ
เดินทางมาเข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือแสวงหาฉันทามติในบางเรื่องร่วมกัน
ทั้งนี้ ตามปกติแล้ว
การจัดสมัชชาอนามัยโลกจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยใช้ระยะเวลาราว 15-18 วัน
พูดคุยทั้งในด้านการบริหารจัดการ เช่น การเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่
แผนและรายงานการเงินต่างๆ รวมถึงการระดมสมองเพื่อทำงานสาธารณสุขในแต่ละด้าน
ทว่าในปีนี้มีความแตกต่างออกไป เนื่องจากไม่สามารถจัดประชุมแบบปกติได้
จึงเป็นการประชุมออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยใช้เวลาเพียง 2 วัน
ซึ่งจัดประชุมไปแล้วเมื่อวันที่ 18 -19 พ.ค.ที่ผ่านมา
“เมื่อเวลาในการพูดคุยมีน้อยลง
ประเด็นการพูดคุยก็จำกัด และเป็นครั้งแรกที่มีการจัดออนไลน์เต็มรูปแบบ
ฉะนั้นจึงอาจไม่สะดวกและเต็มที่ในด้านการแสดงความคิดเห็น เรื่อง time
zone แต่ละประเทศที่แตกต่างกัน
รวมทั้งเรื่องความพร้อมของเทคโนโลยีแต่ละประเทศสมาชิกด้วย จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการจัดอีกรอบในช่วงปลายปีนี้
เพราะยังมีประเด็นที่รอคอยการอภิปรายร่วมกันค่อนข้างมาก” ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์
กล่าว
อย่างไรก็ตาม
แม้การพูดคุยจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นการตัดสินใจ หรือการบริหารจัดการในช่วงโควิด-19
เป็นหลัก แต่สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ การเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศก็มักใช้โอกาสแสดงตัวตนหรือจุดยืนเมื่ออยู่ในเวทีระดับนานาชาติ ตัวอย่างที่เกิดทุกปีก็เช่น กรณีบทบาทไต้หวันกับความเป็นประเทศสมาชิกของจีน
ครั้งนี้ยังมีกรณีของสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งในช่วงโควิด-19
ตามข่าวประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามักกล่าวโทษจีนบ่อยครั้งว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตามในขณะที่อเมริกาพยายามขู่ลดบทบาทการสนับสนุนในด้านต่างๆ ลง
แต่จีนกลับแสดงบทบาทมากขึ้น เช่น
การประกาศว่าหากวัคซีนผลิตได้สำเร็จจะเป็นสมบัติของมนุษยชาติ ที่สามารถเข้าถึงได้
หรือการสนับสนุนเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการช่วยประเทศอื่นสู้โควิด-19
ดังนั้นแล้วในเชิงสัญลักษณ์จีนจึงได้ใจเยอะมากขึ้น
และเป็นบทบาทที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าระบบสุขภาพของโลก
“ส่วนประเทศไทยเองได้รับการยอมรับและมีบทบาทสูงในเวที
ซึ่งเวลาประเทศไทยมีการเสนอหรือแสดงอะไรออกไป มักจะไม่ได้พูดให้กับประเทศ
แต่เป็นการพูดให้กับสังคมโลก
จากประสบการณ์การทำงานของไทยเป็นเครดิตที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเยอะพอสมควร
บางครั้งเราสามารถใช้ประโยชน์จากเวทีระดับโลกย้อนกลับมาดำเนินงานภายในประเทศได้
เช่น บางเรื่องที่ยังผลักดันในระดับประเทศยังไม่สำเร็จ แต่เมื่อถูกนำไปพูดและนำเสนอขึ้นมาในเวทีโลก
ก็อาจได้ผลในการกระตุ้นกลับมากลายเป็นทิศทางของการทำงานได้” ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์
กล่าว
ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์
สรุปว่า การประชุมผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ แม้จะมีข้อดี เช่น ลดการเดินทาง ลดมลพิษ
ไม่ต้องเสียเวลา แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น time zone หรือเนื้อหาประเด็นที่ไม่สามารถพูดได้ยาวเหมือนเดิม
เป็นต้น จึงมองว่าในบางครั้งยังต้องการบรรยากาศการพบปะ
การเจอหน้าพูดคุยทำความเข้าใจ ซึ่งเทคโนโลยีทดแทนไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริม
ผสมผสานเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน
“เช่นเดียวกับการจัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ 13 ปี 2563 ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแน่ๆ
แต่จะเป็นการใช้เต็มรูปแบบ หรือนำมาผสมผสานอย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องว่ากันต่อไป”
ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ กล่าว
ด้าน ดร.ชลัท ประเทืองรัตนา
นักวิชาการผู้ชำนาญการ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า
กล่าวถึงประเด็น Electronic democracy ที่กำลังจะเป็นส่วนเข้ามาเสริมการเมืองในระบบปกติ
หรือระบบนักการเมืองในสภา โดยภาพที่เกิดขึ้นแล้วในช่วงสถานการณ์โควิด-19 คือ
การประชุมรัฐสภาเสมือน หรือ Virtual Parliament ที่เป็นการประชุมออนไลน์
โดยยังมีสัดส่วนของผู้ที่เดินทางเข้ามานั่งประชุมในบางส่วน
แต่ส่วนใหญ่ที่เหลือจะประชุมผ่านออนไลน์ “ตอนนี้ที่แคนาดาและอังกฤษมีการนำมาใช้
เป็นระบบที่ทดลองในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่บรรยากาศของรัฐสภาที่ไม่เหมือนเดิม
รวมถึงประเด็นการคัดเลือกสัดส่วนผู้มีสิทธิเข้าร่วมประชุมที่เหมาะสม
ก็ยังเป็นข้อถกเถียง ทำให้มีทั้งเสียงที่อยากให้ทำแบบนี้ต่อไป
กับเสียงที่อยากให้ยกเลิก จึงยังต้องพัฒนาต่อว่าระบบนี้จะใช้ไปได้ขนาดไหน” ดร.ชลัท
ระบุ
ดร.ชลัท กล่าวว่า
ในส่วนของประเทศไทยนั้นอาจยังไม่จำเป็นมากนัก
เนื่องจากรัฐสภามีสถานที่กว้างขวางกว่า
รวมถึงสถานการณ์โรคระบาดไม่รุนแรงเท่าในฝั่งยุโรป แต่ Virtual
Parliament อาจนำมาประยุกต์ใช้ได้
ซึ่งต้องดูข้อจำกัดว่าใช้ได้ในเรื่องอะไรบ้าง โดยอาจเป็นเรื่องที่ไม่ใหญ่
ไม่เกิดผลกระทบกับสาธารณะมากนัก หรืออาจนำไปใช้ในการประชุมคณะกรรมาธิการบางชุด
เป็นต้น แต่ไม่สามารถนำมาใช้การโหวตเพื่อลงมติเรื่องสำคัญ
ที่ยังจำเป็นต้องใช้การประชุมแบบเดิม ฉะนั้นจำเป็นต้องดูเป็นกรณีไป
นอกจากนี้ ในส่วนของการพิจารณาคดีออนไลน์ หรือ E-court ซึ่งประเทศไทยได้เริ่มมีการพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วเพื่อใช้ในบางกระบวนการ เช่น การยื่นคำร้อง การไต่สวนข้อพิพาท หรือแม้แต่การรับฟังคำพิพากษา เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังศาล โดยสามารถนำมาใช้กับคดีเล็กน้อย เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาคดีจำนวนมากที่ยังค้างท่ออยู่ แต่ไม่ใช่ในโทษคดีใหญ่หรือคดีที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งยังต้องอาศัยรูปแบบปกติอยู่.