สงขลา - รองอธิบดีอัยการปราบปรามการทุจริตภาค 9 และโฆษกอัยการปราบปรามการทุจริตภาค 9 เตือนไม่ใส่หน้ากากอนามัย หรือดึงหน้ากากไว้ใต้คาง ใส่หน้ากากปิดปากแต่ไม่ปิดจมูก ผิดกฎหมาย ต้องปิดมิดชิดปากและจมูกให้ถูกต้อง และเคยมีคำพิพากษาสั่งปรับมาแล้ว
เมื่อเช้าวันที่ 26 เม.ย.2564 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการปราบปรามการทุจริตภาค 9 ได้โพสต์เฟสบุ๊กเรื่องการประกาศบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัย เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติให้ถูกต้องจะได้ไม่กระทำผิดกฎหมาย มีรายละเอียดดังนี้
”ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เซ็นประกาศแล้ว คนกทม. คนสงขลา และทุกจังหวัดที่ประกาศแล้ว..ต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออกจากบ้าน อย่างถูกต้องหรือถูกวิธี..ฝ่าฝืนปรับสูงสุดไม่เกินสองหมื่นบาท ผิดกฎหมายมีผลตั้งแต่วันนี้เหมือนคำสั่งจังหวัดที่ให้สวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เจตนารมณ์ ขอให้ถูกกฎหมายที่รองรับคำสั่ง คือ ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ การสวมหน้ากากจึงต้องสวมให้ถูกต้องเพื่อป้องกันโรคระบาด ไม่ใช่เพื่อป้องกันถูกจับปรับไม่เกิน 20,000 บาท เท่านั้น หน้ากากจึงมีไว้เพื่อป้องกันตัวท่านเองไม่ให้ติดเชื้อโควิด ไม่ใช่มีไว้เพื่อป้องกันตำรวจจับ ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามถือว่ามีความผิดตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2554 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
คนที่ไม่อยากใส่ คนที่รู้สึกต่อต้าน ขอให้ไปอ่านข่าวกันบ้างว่าผู้ติดเชื้อโควิด นำเชื้อกลับเข้าไปติดคนที่บ้าน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่นำเชื้อไปติดคุณพ่อคุณแม่ที่สูงอายุ ท่านระมัดระวังไม่ออกนอกบ้าน มีวินัยป้องกันตนเองอย่างสูง แต่ลูกหลานเข้ามาหา นำเชื้อมาติดคนสูงอายุในบ้านหลายรายแล้ว เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ คงต้องมานั่งเสียใจแล้วคิดกันแบบเดิมๆ ว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเรา จึงไม่ควรประมาท ร่วมมือกันอย่างมีวินัยอย่างเคร่งครัด เราปลอดภัย ทุกคนที่ใกล้เราปลอดภัยด้วย จึงจะรอดไปด้วยกัน
อัยการจึงขอให้ปฎิบัติตามประกาศในทุกจังหวัดโดยเคร่งครัด ออกจากบ้านใส่หน้ากากทันทีนั่งรถโดยสารสาธารณะ รถเมล์ รถแท็กซี่ ก็ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลานะครับ จังหวัดไหนที่ยังไม่ประกาศ ก็ใส่ได้นะครับ ถ้าอยากจะรอดไปด้วยกัน แม้กฎหมายนี้จะดูเป็นการบังคับให้เราใส่หน้ากาก แต่ใส่แล้วก็ดีกับเราปลอดภัยกับเรา เรียกได้ว่าดีมากกว่าเสีย แล้วทำไมเราจะไม่ใส่หน้ากากกันละครับ
ท่านประเสริฐ อธิบดีอัยการภาค 8 ได้ส่งบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ คำพิพากษาศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ให้ดูเป็นตัวอย่างแม้ศาลใช้ดุลพินิจปรับ 4,000 บาท รับสารภาพลดครึ่งเหลือ 2,000 บาท แต่ในจังหวัดอื่นๆ ศาลท่านก็ใช้ดุลพินิจ ลงโทษตามความเหมาะสมในพฤติการณ์แห่งคดี หากมีพฤติการณ์ไม่ยอมใส่หน้ากากแบบท้าทายกฎหมาย ศาลอาจใช้ดุลพินิจลงโทษหนักกว่านี้ได้...อัตราโทษปรับอย่างสูงไม่เกิน 20,000 บาท ขอบคุณท่านประเสริฐอธิบดีอัยการภาค 8 ที่ช่วยให้ความรู้ประชาชน ประชาชนจะได้ร่วมมือกันปฏิบัติอย่างถูกต้องไม่ให้เกิดประเด็นความขัดแย้งทางสังคม ในการปฎิบัติตามกฏหมายครับ”
พร้อมกันนี้ นายโกศลวัฒน์ ได้โพสต์คำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลแขวงสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2564 ในความผิดไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าออกมาเดินในเวลากลางคืน เหตุเกิดที่ ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคำสั่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน จำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาปรับเป็นเงินจำนวน 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ 2,000 บาท.