AAV ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 และตลอดปี 2563
หมวดหมู่ : เศรษฐกิจ, ไลฟ์สไตล์-บันเทิง, ทั่วไป, ท่องเที่ยว, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 25 ก.พ. 2564, 16:46 น. อ่าน : 4,985 กรุงเทพฯ วันที่ 25
กุมภาพันธ์ 2564 - บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ผู้ถือหุ้นใหญ่
บจ.ไทยแอร์เอเชีย (TAA) เผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ปี
2563
ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดจากความต้องการเดินทางภายในประเทศที่สูงขึ้นในช่วงเทศกาล
และมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวจากภาครัฐ โดย TAA กลับมาให้บริการเส้นทางภายในประเทศได้ถึงร้อยละ
107 ของปริมาณที่นั่งก่อนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยขนส่งผู้โดยสาร 2.81
ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากไตรมาสที่ 3 และมีอัตราขนส่งผู้โดยสารอยู่ที่ร้อยละ
74 โดยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงกลางเดือนธันวาคม
2563
โดยไตรมาสที่ 4
AAV มีรายได้รวม 4,158.6 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 1,114.4 ล้านบาท
จากผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์สิทธิการใช้ที่มูลค่าบัญชีสูงกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนของสินทรัพย์จำนวน
1,416 ล้านบาท
(หากไม่มีผลขาดทุนจากการทำสัญญาแลกเปลี่ยนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าที่จำนวน
799 ล้านบาท TAA จะมีผลการดำเนินงานก่อนจะหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเป็นบวก)
นายสันติสุข
คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น และ บจ.ไทยแอร์เอเชีย
กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563
ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเเละเดินทางจากสถานการณ์โควิด-19
โดยเฉพาะการที่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการการใช้เครื่องบินได้ถึงร้อยละ 70
และมีเเนวโน้มอัตราขนส่งผู้โดยสารดีขึ้นต่อเนื่อง
โดยในเดือนพฤศจิกายนมีอัตราขนส่งสูงเกือบร้อยละ 80
ก่อนที่จะได้รับผลกระทบอีกครั้งจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ในระลอกใหม่
“ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่
4 ทำให้เห็นว่า เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น บจ.ไทยแอร์เอเชีย
พร้อมที่จะกลับมาคว้าโอกาสเสมอ รวมทั้งการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริม
ทั้งบริการเดลิเวอรี่อาหารเเละเครื่องดื่ม การขนส่งคาร์โก เเละการปรับให้ airasia.com ให้เป็นมากกว่าผู้ให้บริการจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน
เเต่ครอบคลุมสินค้าเเละบริการตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์มากขึ้น” นายสันติสุข กล่าว
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลประกอบการตลอดปี
2563 พบว่า TAA ขนส่งผู้โดยสารได้ 9.49 ล้านคน
ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารตลอดปีที่ร้อยละ 75 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดย AAV
มีรายได้รวม 16,237.3 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 4,764.1 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19
ตลอดปี ที่สายการบินจำเป็นต้องหยุดบินชั่วคราวทุกเส้นทางในช่วงเดือนเมษายน
และจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ในการปรับลดเเละเพิ่มเที่ยวบินให้สอดคล้องกับความต้องการเดินทางอยู่ตลอด
ควบคู่การรักษาสภาพคล่องและผลประกอบการทางธุรกิจ
เเม้ว่า TAA
จะเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต
แต่เราก็ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาเเละขยายฐานลูกค้า
โดยเปิดฐานปฏิบัติการการบินใหม่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ซึ่งเมื่อรวมกับการให้บริการที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ทำให้ TAA เป็นสายการบินเดียวที่ให้บริการบินเข้าออกกรุงเทพฯ สะดวกได้ทั้ง 2
ท่าอากาศยาน เสริมความเเข็งเเกร่งเเละตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดในประเทศ อีกทั้งนี้ TAA ได้ใช้แผนบริหารจัดการต้นทุน
โดยลดค่าจ้างพนักงานตามนโยบายขอความร่วมมือให้พนักงานใช้สิทธิการลาโดยไม่รับค่าจ้างในระยะสั้นและระยะยาว
เช่นเดียวกันกับค่าบริการในสนามบินและลานจอดจากส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงอากาศยาน
(Landing Charge) ค่าบริการที่จอดอากาศยาน (Parking
Charge) และค่าบริการการเดินอากาศ (Air Navigation
Charge) ทั้งนี้การลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังส่งผลต่อเนื่องในปี
2564 อีกด้วย
“เรายังเชื่อมั่นว่าในปี 2564 เมื่อสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่อนคลาย เเละมีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวเเละธุรกิจการบินตามลำดับ รวมทั้งเส้นทางระหว่างประเทศที่น่าจะเริ่มกลับมาให้บริการได้ในช่วงปลายปี ซึ่ง TAA มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในสนับสนุนเดินทางและท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ควบคู่มาตรฐานบริการด้านสุขอนามัยที่เข้มข้นเหมือนเดิม นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้นการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด อีกทั้งขยายโอกาสธุรกิจด้านโลจิสติกส์เพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของการขนส่งสินค้าทางอากาศ พร้อมสนับสนุนการขนส่งวัคซีนทางอากาศทั้งในประเทศและภูมิภาค ทั้งนี้เราอยู่ระหว่างการพิจารณาหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งเป็นไปได้หลายตัวเลือก เช่น ซอฟต์โลน การกู้ยืม หรือ การเพิ่มทุน” นายสันติสุข กล่าว.