ส.ส.พัทลุง ออกมาย้ำต้องยึดคืนที่ดินสาธารณประโยชน์จากนายทุน

        “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส.พัทลุง เขต 1 ย้ำนายทุนและผู้ครอบครองเกินความจำเป็นในที่ดินสาธารณประโยชน์ ต้องยึดคืนและดำเนินคดีทุกราย ส่วนกำนันคนดังประกาศกร้าว ผู้ที่ไม่มีรายชื่อเป็นผู้ยากจนและยากไร้ จะต้องออกนอกพื้นที่โดยทันที

        จากกรณีที่ชาวบ้านในท้องที่ ม.2, 4, 5, 7 ต.ชัยบุรี และท้องที่ ม.8, 11 ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง เข้าไปถือครองที่ดิน “ควนท่าสำเภาสาธารณประโยชน์” จำนวน 3,727 ไร่เศษ ซึ่งอยู่ในความดูแลของฝ่ายปกครองของกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างเป็นที่ทำกินมากกว่า 3,500 ไร่ มานานกว่า 10 ปี จนชาวบ้านร้องเรียนไปยัง พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 จน นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง ได้เรียกประชุมหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง อปท. และผู้นำท้องถิ่น เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการบุกรุกดังกล่าว ในขณะที่อดีตผู้นำท้องถิ่นรายหนึ่งออกมาเรียกร้องให้แต่งตั้งหน่วยงานรัฐเข้าไปร่วมตรวจสอบด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกๆ ฝ่าย ในส่วนของกำนัน และนายก อบต.ชัยบุรี ได้ออกมายืนยันว่าการตรวจสอบในครั้งนี้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ผู้บุกรุกที่มิใช่ผู้ยากจน ยากไร้ทั้ง 397 ราย ที่เข้าร่วมโครงการในก่อนหน้านี้จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทุกราย โดยขอเอาเกียรติประวัติในการทำงานเป็นหลักประกันนั้น

        นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง เขต 1 พรรค ปชป. และอดีตประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า กรณีการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดพัทลุงที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น เหมือนกับการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ แต่เมื่อมีการตรวจพบข้อเท็จจริงแล้ว ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ควรปล่อยปละละเลย ควรนำปัญหานี้เข้าสู่ระบบเพื่อการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จ 

        ส.ส.พัทลุง กล่าวอีกว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายไม่ควรปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวนี้ไว้ต่อไป โดยจะต้องพิจารณาให้รอบด้านว่าที่สาธารณประโยชน์บางแปลง อาจจะต้องยกเลิกทั้งผืนเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ หรือยกเลิกเป็นบางส่วน หรือให้คงสภาพไว้ทั้งหมดเพื่อสาธารณะอยู่ต่อไป ควรตรวจสอบผู้เข้ายึดครองว่าเป็นใคร มีฐานะความยากจนหรือนายทุน ครอบครองเกินความจำเป็นหรือไม่ สำหรับคนจนอาจจะต้องให้เป็นที่ทำกิน แต่สำหรับนายทุนและผู้ครอบครองเกินความจำเป็น ต้องยึดคืนพร้อมทั้งดำเนินคดีกับผู้บุกรุกทุกราย และกระทรวงมหาดไทยต้องดำเนินการแบบนี้ทุกแปลงทั่วประเทศ  

        ส่วน นายสุพัฒน์ มุลเมฆ อดีตกำนัน ต.ชัยบุรี อดีตนายก อบต.ชัยบุรี ผู้ทรงคุณวุฒิการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำขอใช้ที่ดินดังกล่าว ตามโครงการจัดที่ดินของรัฐขจัดความยากจน ยื่นต่ออำเภอเมืองพัทลุง เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 เปิดเผยว่า การสำรวจตรวจสอบการเข้าถือครองในที่ดินดังกล่าว เพื่อสร้างเป็นที่ทำกินของผู้ยากจนและยากไร้ 397 ราย จำนวน 514 แปลง ประมาณ 1,200 ไร่ จะแล้วเสร็จภายใน 10 วัน หากมีผู้ที่นอกเหนือจากบัญชีรายชื่อผู้ยากจนฯ เข้าไปบุกรุกในที่ดินดังกล่าวจะต้องออกนอกพื้นที่โดยทันที หากมีการดื้อรั้นตนจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด พร้อมขอเรียกร้องให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ “ไข่แดง” ด้านในที่มีพื้นที่มากกว่า 2,000 ไร่ เป็นสถานที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำชนิดต่างๆ และพันธุ์สัตว์น้ำที่หายาก รวมทั้งพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิทยาต่อไป

        ทางด้าน นายโอภาส หนูชิต อดีตผู้ใหญ่บ้าน ม.11 ต.ลำปำ อ.เมืองพัทลุง และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พัทลุง เขต 1 พรรครวมพลังประชาชาติไทย เปิดเผยว่า ในปี 2546-2548 ตนได้ยื่นเรื่องให้ส่วนราชการออกโฉนดให้กับชาวบ้านผู้ถือครองที่ดินที่อยู่นอกเขต “ควนท่าสำเภาสาธารณประโยชน์“ ให้กับราษฎร ต.ลำปำ ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง ประมาณ 5,000 ไร่ แต่หลังจากนั้น 5 ปี พบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ที่ได้รับโฉนดที่ดินได้ขายที่ดินให้ดังกล่าวให้กับบุคคลภายนอกเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าพรุ หากไม่มีทุนก็ไม่สามารถปรับสภาพพื้นที่ในการปลูกปาล์มน้ำมันได้ ในส่วนของกลุ่มชาวบ้านที่ขายที่ดินให้กับบุคคลภายนอกไปแล้วจะเข้าไปบุกรุกในที่ดินดังกล่าวหรือไม่ ต้องมีการสำรวจตรวจสอบกันต่อไป ตนรู้สึกเสียดายว่าพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์และเป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์สัตว์น้ำหลากหลายชนิด นกน้ำชนิดต่างๆ จะถูกชาวบ้านบุกรุกเข้าไปถือครองเพื่อสร้างที่ทำกินจนเกือบเต็มพื้นที่.