วันความหลากหลายทางชีวภาพ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
หมวดหมู่ : ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 22 พ.ค. 2565, 23:30 น. อ่าน : 1,061กรุงเทพฯ - 22 พฤษภาคม ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันสากลแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ (International Day for Biological Diversity) โดยในปี 2565 ภายใต้แนวคิด Building a shared future for all life สร้างอนาคตร่วมกันเพื่อทุกชีวิต บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าร่วมมือกับคู่ค้าธุรกิจและเกษตรกรในห่วงโซ่การผลิตอาหาร ยุติการบุกรุกและการทำลายป่า เพื่อร่วมสนับสนุนการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งความมั่นคงด้านอาหารของโลก
นางสาวธิดารัตน์
เดชายนต์บัญชา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านจัดซื้อพัสดุครุภัณฑ์ ซีพีเอฟ
กล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร
เดินหน้าจับมือกับคู่ค้าธุรกิจและเกษตรกร ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ดำเนินการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าคุณภาพ
ปลอดภัยจากกระบวนการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
เพื่อยุติการตัดไม้ทำลายป่า
ด้วยกระบวนการจัดซื้ออย่างรับผิดชอบและมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคที่ยั่งยืน
ซีพีเอฟกำหนดเป้าหมายการจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลักที่สำคัญได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม กากถั่วเหลือง
และมันสำปะหลัง ร้อยละ 100
จากทั่วโลกต้องปราศจากการบุกรุกพื้นที่ป่า ภายในปี 2573 (ค.ศ.
2030) ควบคู่กับการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นที่ป่า
เพื่อร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นต้นทางของวัตถุดิบในการผลิตอาหาร
สร้างศักยภาพทางการแข่งขันคู่ค้าให้เติบโตไปด้วยกัน
“เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าธุรกิจและเกษตรกรมีส่วนร่วมในปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง
คู่ค้าธุรกิจซีพีเอฟดำเนินตามนโยบายการจัดหาที่ยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้าธุรกิจ เพื่อให้คู่ค้าธุรกิจส่งมอบวัตถุดิบและสินค้าคุณภาพสูง
ปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ามาจากแหล่งผลิตที่รับผิดชอบ ต่อสิ่งแวดล้อม
สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)” นางสาวธิดารัตน์ กล่าว
บริษัทฯ
เดินหน้าพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าธุรกิจรวมถึงคู่ค้า SMEs ให้มีความตระหนักและร่วมกันจัดหาวัตถุดิบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งผลิต
รวมทั้งพัฒนาการดำเนินงานสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเชื่อมโยงแนวทาง ESG เข้ามาในกระบวนการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน
สอดคล้องตามนโยบาย “CPF 2030 Sustainability in Action” เพื่อให้คู่ค้าธุรกิจสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลง
บริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
อีกทั้งยังถือเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจ ร่วมสร้างการเติบโตไปด้วยกัน
ซีพีเอฟยังดำเนินการตรวจประเมินและทบทวนความเสี่ยงด้านความยั่งยืนของคู่ค้าธุรกิจครอบคลุมทุกกลุ่มวัตถุดิบทั้งในกิจการประเทศไทย
เวียดนามและจีนแล้วครบร้อยละ 100
เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นว่าตลอดห่วงโซ่อุปทานที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า
และปีนี้มีแผนขยายการประเมินความเสี่ยงไปยังคู่ค้าธุรกิจในกิจการต่างประเทศต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ
ร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (FIT) ในการจัดหาข้าวโพดตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งปลูกสำหรับกิจการผลิตในประเทศไทยทั้งหมด
ผ่านระบบ Corn Traceability System
ว่าเป็นข้าวโพดพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งดำเนิน โครงการ "เกษตรกรพึ่งตน
ข้าวโพดยั่งยืน" เพื่อช่วยเกษตรกรมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตและลดค่าใช้จ่าย
รวมทั้งมีความเข้าใจการปลูกช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ควบคู่กันด้วย
ปัจจุบันทางบริษัทฯ
ยังได้ขยายการตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดไปยังกิจการต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ จีน
อินเดีย และเวียดนาม รวมทั้งกิจการของเครือซีพี เช่น เมียนมา เป็นต้น
พร้อมทั้งต่อยอดนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) ช่วยยกระดับการตรวจสอบย้อนกลับของวัตถุดิบข้าวโพดทำได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
สำหรับวัตถุดิบหลักอื่นๆ อาทิ กากถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม ปลาป่น
ต้องตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งเพาะปลูกและผลิต อาทิ มาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil:
RSPO) เป็นต้น
ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังได้ดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” มาตั้งแต่ปี 2559 โดยผลสำเร็จจากการดำเนินการระยะที่ 1 (ปี 2559 -2563) ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า รวม 5,971 ไร่ ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินโครงการระยะที่ 2 (ปี 2564 -2568) เพิ่มเติมอีก 1,000 ไร่ รวมเป็น 6,971 ไร่.