ภาครัฐ-เอกชน จับมือรับเทรนด์โลกใหม่ “พลังงานสะอาด” ลดต้นทุน
หมวดหมู่ : ภาพข่าวสังคม, ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 14 มี.ค. 2565, 18:33 น. อ่าน : 2,413กรุงเทพฯ - ภาครัฐและเอกชน จับมือรับเทรนด์โลกใหม่ “พลังงานสะอาด” ลดต้นทุนสู้แข่งขัน “ส.อ.ท.จับมือ กฟภ. นำร่องการใช้พลังงานสะอาดผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกในการแก้ปัญหากติกาโลกใหม่ (NTB)”
เมื่อวันจันทร์ที่
14 มีนาคม 2565
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จับมือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ประกาศโครงการนำร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy:
RE) และ Carbon Credit เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและการรับรองการผลิตไฟฟ้า
RE และ Carbon Credit โดยเชื่อมต่อกับ Platform
ของ ส.อ.ท. เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี
และการประยุกต์ใช้ RE ตลอดจนขยายผลการศึกษาและการพัฒนาไปสู่โครงการอื่นๆ
ต่อไป เช่น โครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2
ในการตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของการค้าการส่งออกของประเทศไทยเป็นสำคัญ
การจับมือกันครั้งนี้ มี นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท., นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
และประธานคณะทำงานส่งเสริมและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม
พร้อมด้วย นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์
กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และ ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์
ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
(สอวช.) ร่วมประกาศความร่วมมือขับเคลื่อนโครงการฯ ณ ห้อง PTT GROUP (1012) ชั้น 10 สภาอุตสาหกรรมฯ กรุงเทพฯ
ซึ่งจัดขึ้นภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ต้นทุนค่าไฟฟ้าของระบบพลังงานหมุนเวียนที่ลดลง ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีความต้องการที่จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ยังถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การเกิดขึ้นของตลาดคาร์บอนเครดิต และการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนควรที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดคล้องกับกติกาโลกใหม่ และบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนพลังงานทดแทน ให้มีสัดส่วน 30% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งประเทศภายในปี 2030 รวมถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2065
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการลงนาม “บันทึกข้อตกลงโครงการนำร่องการพัฒนาทางด้านพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิต”
เพื่อจัดทำฐานข้อมูลและการรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและคาร์บอนเครดิตโดยเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของสภาอุตสาหกรรมฯ
ผ่านโครงการ ERC Sandbox ระยะที่ 2 โดยการริเริ่มและสนับสนุนจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
เพื่อให้สามารถใช้เป็นต้นแบบตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน
ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการร่วมมือในโครงการนำร่องฯ
ระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในครั้งนี้
จะส่งผลให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายตามที่ได้กล่าวมา
นายศุภชัย เอกอุ่น
ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า
ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านพลังงานมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การศึกษาพัฒนาโครงการนําร่องด้านพลังงานหมุนเวียน โดยการจัดทําฐานข้อมูล การรับรอง
การผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ Carbon Credit โดยการนําระบบแพลตฟอร์มมาบูรณาการ เพื่อใช้เป็นต้นแบบ
ตามแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน
รวมถึงการขยายผลการศึกษาไปสู่โครงการอื่น ๆ จะช่วยให้ภาพรวมของประเทศไทย มีศักยภาพ
ด้านการผลิต และการให้บริการด้านพลังงานสูงขึ้น ทั้งนี้การร่วมมือระหว่าง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมเอกชนของประเทศไทยที่มีบทบาททางด้านการส่งเสริมและพัฒนาการประกอบอุตสาหกรรมชั้นนำของผู้ประกอบการทั้งภายในและต่างประเทศ
จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ของทั้ง 2
หน่วยงานในการร่วมกันแสวงหาแนวทางในการศึกษาและสร้างนวัตกรรมใหม่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในอนาคต
ด้าน นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน และประธานคณะทำงานส่งเสริมและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม ได้จัดทำสรุปรายงานเรื่องนี้ว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการไทยทั้งภาคการผลิตและภาคการค้าที่กำลังจะประสบปัญหากลไกด้านสิ่งแวดล้อมแบบ Non-Tariff Barrier ที่ส่งผลให้ความต้องการ การใช้พลังงานหมุนเวียนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลาย และยังมีความท้าทายที่ต้องการการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
การที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในครั้งนี้ผ่านโครงการ
ERC
Sandbox ระยะที่ 2 ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ได้ริเริ่มสนับสนุนและผ่อนคลายกฎระเบียบให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถซื้อขายไฟฟ้าข้ามสายส่ง
และเปิดการอนุญาตทดลอง กติการูปแบบใหม่ๆ
เพื่อทดลองแนวทางที่เหมาะสมที่สามารถผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจต่างประเทศ
และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของสากล
โดยโอกาสในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย
สู่ยุคสังคมคาร์บอนต่ำ
ส่วน นายบัณฑูร
เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า โครงการ ERC
Sandbox ระยะที่ 2
มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการทดสอบทางเทคโนโลยีด้านพลังงานในสภาพแวดล้อม
ของการใช้งานจริงในพื้นที่และขนาดที่จำกัด อีกทั้งเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ทั้งในรูปแบบเปิดกว้างและแบบมุ่งเป้าในด้าน Green Innovation และ Green Regulation ทั้งนี้
จะทำให้เกิดการพัฒนารูปแบบธุรกิจการให้บริการทางด้านพลังงานรูปแบบใหม่
ที่จะนำไปสู่การเพิ่มทางเลือกและช่องทางการเข้าถึงบริการด้านพลังงาน
ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้นในราคาที่เหมาะสม
ขณะที่ นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้กล่าวถึงนโยบายของ สอวช. และการสนับสนุนการอบรมให้ความรู้ แก่ผู้ประกอบการโดยแบ่งเป็น 6 หลักสูตรคือ 1) Design Principle: Passive & Active Design, 2) Energy Efficiency, 3) Renewable Energy, 4) 3R + 1W + 1C, 5) Carbon Credit Certificate, 6) Carbon Credit/RE Platform ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคม 2565.
ที่มาข่าว : สมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย