ยะลา-นายอำเภอเบตงบูรณาการหลายฝ่าย สกัดกั้น โควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ หลังมาเลเซียพบยอดติดสูง ส่งทหารตรวจเข้มช่องทางธรรมชาติ หวั่นลักลอบเข้าเมืองทางชายแดน ก่อนเทศกาลฮารีรายอในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2564 นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง จ.ยะลา ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งทหาร ชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4 ตำรวจ สภ.เบตง ฝ่ายปกครอง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตชด.445 ชุดเฝ้าตรวจ 4405 และ 4406 ตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน วางมาตรการ จัดกำลังวางแผน บูรณาการร่วมออกลาดตระเวน เฝ้าระวังหมู่บ้านติดชายแดนมาเลเซีย เพื่อป้องกันกลุ่มคนไทยที่ทำงานในประเทศมาเลเซียที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ตามแนวชายแดนลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย ตามช่องทางธรรมชาติ รอยต่อประเทศมาเลเซีย ในช่วงก่อนเทศกาลฮารีรายอในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สายพันธุ์แอฟริกาใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เพิ่มความเข้มงวด ความถี่ ขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ในเขตเทศบาลเมืองเบตงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เบตง ได้ออกประกาศขอความร่วมมือประชาชนงดออกภายนอกเคหะสถานช่วงเวลา 22.00 – 04.00 น. เพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยได้เริ่มบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1-18 พ.ค.2564
ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่ต่างให้ความร่วมมือในการคัดกรองตามจุดต่างๆในเขตเทศบาลและที่ตลาดสดเทศบาลเมืองเบตง ได้มีการตั้งจุดคัดกรองลงทะเบียนไทยชนะ เพื่อการติดตามหากมีการพบผู้มีอาการและกำหนดให้มีทางเข้า – ออก ตลาดเพียง 2 ช่องทางเพื่อป้องกันการแออัด และเป็นการเว้นระยะห่าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ขณะที่บรรยากาศย่านการค้า ซึ่งถือว่าเป็นย่านการค้าที่เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าที่จำหน่ายนักท่องเที่ยวต่างปิดตัวลงชั่วคราว โดยตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งที่ผ่านมาอำเภอเบตงไม่เคยมีการติดเชื้อในระลอก 1 และ 2 ปรากฏว่าในระลอกที่ 3 มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตด้วย ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไร้นักท่องเที่ยว ร้านค้าโดยเฉพาะผู้ค้ารายย่อยที่เป็นร้านค้าขนาดเล็กหาเช้ากินค่ำ ต้องปิดกิจการชั่วคราวทิ้งไว้แต่ร้านร้างว่างเปล่าจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ด้านสถานการณ์โควิเ-19 จังหวัดยะลา ระลอกเมษายน 2564 " (เริ่ม 1 เม.ย. 2564 -วันที่ 4 พ.ค.2564) พบผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 86 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 67 ราย รักษาหายแล้ว 17 ราย เสียชีวิตสะสม 2 ราย.