เชฟรอนร่วมสนับสนุนไซเครส (ศูนย์วิจัยคลินิกศิริราช) ศึกษาฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้าในชั้นผิวหนัง
หมวดหมู่ : ภาพข่าวสังคม, ทั่วไป, กรุงเทพฯ,
โฟสเมื่อ : 15 ธ.ค. 2564, 21:00 น. อ่าน : 1,988 โครงการนำร่องการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนโควิด-19
ด้วยการฉีดเข้าในผิวหนัง ดำเนินการโดยศูนย์วิจัยคลินิก
คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (Siriraj Institute
of Clinical Research หรือ SICRES) และร่วมสนับสนุนงบประมาณโดย บริษัท
เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19
เข้าในชั้นผิวหนัง (Intradermal หรือ ID) จากปกติที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ซึ่งมีการศึกษาการฉีด 2 รูปแบบ
แบบแรกศึกษาโดยการเลียนแบบการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
ที่จะฉีดครั้งละ 2 จุด ห่างกัน 7 วัน และการฉีดแบบ 1 จุด ห่างกัน 21-28 วัน
ซึ่งใช้ปริมาณวัคซีนเพียงเข็มละ 15-20%
ของขนาดปกติที่ให้โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อนั้น
จะมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกัน และอาการไม่พึงประสงค์ลดลงหรือไม่
แตกต่างจากการให้วัคซีนโดยการฉีดเข้าทางกล้ามเนื้ออย่างไร
อันจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการให้วัคซีนกับประชากรในประเทศไทย
ซึ่งจะช่วยประหยัดปริมาณการใช้วัคซีนภายในประเทศได้
และยังได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการให้วัคซีนโควิด-19
กับประชากรไทยในอนาคตอีกด้วย
ผศ.ดร.พญ.สุวิมล
นิยมในธรรม หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวถึงที่มาและแนวคิดของการศึกษาในครั้งนี้ว่า
“จากการศึกษาที่ผ่านมาถึงการให้วัคซีนโดยการฉีดเข้าในผิวหนังของวัคซีนหลายๆ โรค
พบว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับการให้วัคซีนโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์จากการให้วัคซีนโดยการฉีดเข้าในผิวหนังก็น้อยกว่าการให้โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
จึงคาดว่าการให้วัคซีนโควิด-19 โดยการฉีดเข้าในผิวหนังก็น่าจะให้ผลดีเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้การให้วัคซีนโดยการฉีดเข้าในผิวหนังโดยทั่วไปจะใช้ปริมาณประมาณ 10% - 20%
ของขนาดปกติที่ให้โดยการฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ
ซึ่งคาดว่าน่าจะเพียงพอในการสร้างภูมิคุ้มกัน และอาการไม่พึงประสงค์ก็น่าจะลดลง”
นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังมีแนวคิดในการย่นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโควิด-19
เข็มที่ 1 และ 2 ด้วยสูตรเร่งด่วน ซึ่ง ผศ.ดร.พญ.สุวิมล ให้เหตุผลว่า
“จากการศึกษาที่ผ่านมา
แนวทางหนึ่งในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อไวรัสให้เกิดขึ้นได้เร็วคือการทำให้ร่างกายคุ้นเคยกับไวรัสด้วยการฉีดวัคซีนพร้อมกันหลายจุด
และฉีดเข็มกระตุ้นโดยเว้นระยะเวลาไม่นาน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับวัคซีนครบ
และกระตุ้นภูมิโดยเร็ว จะทำให้การป้องกันโรคเต็มที่เกิดขึ้นได้เร็วกว่า
โดยการศึกษาในครั้งนี้จะแบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม
โดยแต่ละกลุ่มจะได้รับวัคซีนโควิด-19 คนละชนิด
โดยฉีดเข้าในผิวหนังของอาสาสมัครครั้งละ 2 จุด
โดยมีระยะเวลาของการฉีดวัคซีนครั้งที่ 1 และ 2 ห่างกัน 7 วัน โดยจะเทียบกับการฉีด
1 จุด ห่างกัน 28 วัน ในปริมาณราว 15-20% ของขนาดปกติที่ให้โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ”
ผศ.ดร.พญ.สุวิมล กล่าวต่อไปว่า “เราพบว่ากลุ่มอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่ม ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทางผิวหนังสูตรเร่งด่วน แบบการย่นระยะเวลาให้เหลือเพียง 7 วันนั้น มีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเทียบกับการฉีดเข้าในผิวหนัง 1 จุด ห่างกัน 21-28 วัน พบว่า มีระดับภูมิคุ้มกันขึ้นด้อยกว่า ซึ่งการฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง ทั้ง 2 รูปแบบ พบว่าเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีด เช่น ปวดหัว ไข้ขึ้น หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ลดลง และช่วยประหยัดวัคซีนได้ถึง 5 เท่า จึงสรุปได้ว่า การฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง เป็นการจัดสรรวัคซีนให้เกิดประโยชน์สูงสุด กระจายสู่ประชากรได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเว้นระยะห่างเพียง 21-28 วัน จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่ดี และลดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดได้อีกด้วย”
นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ร่วมสนับสนุนโครงการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งจะมีส่วนในการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษานี้ไม่เพียงสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัคซีน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศรายได้น้อยซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม เพียง 6 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น อันจะมีส่วนช่วยเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตในครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”.
เชฟรอน มอบงบประมาณจำนวน 500,000 บาท แก่ไซเครส เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ด้วยการฉีดเข้าในผิวหนัง
การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข้าบริเวณชั้นผิวหนังที่แขนด้านขวา
นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผจก.ใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด
ผศ.ดร.พญ.สุวิมล นิยมในธรรม หัวหน้าโครงการวิจัย